บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2022

ไม้ผล/ไม้ยืนต้น ตัดแต่งกิ่งอย่างไร? ให้เหมาะสมและสวยงาม

รูปภาพ
          การตัดแต่งกิ่งไม้ผลและไม้ยืนต้นให้เหมาะสมและสวยงาม      สวัสดีมิตรสหายที่รักเกษตรทุกท่านครับ บทความนี้ผมจะมาแชร์วิธีการตัดแต่งกิ่งไม้ผลและไม้ยืนต้น ฉบับเข้าใจง่าย สามารถทำตามได้เลย จากประสบการณ์ตรงของผมเองดังนี้ครับ การตัดแต่งกิ่งไม้ผล      ไม้ผลชนิดต่างๆ เช่น ลำไย , มะม่วง , ทุเรียน , เงาะ , มะขาม , ขนุน และฝรั่งเป็นต้น ผมมักจะใช้ระยะปลูกประมาณ 4 คูณ 4 เมตร จะแต่งทรงพุ่มให้เตี้ยด้วยการตัดยอดออกตั้งแต่ความสูงประมาณ 1 เมตร เพื่อให้ทรงพุ่มกระจายออกด้านข้าง และจะตัดกิ่งกระโดง หรือกิ่งที่ตั้งตรงกลางทรงพุ่มออก กิ่งที่แห้งตาย รวมไปถึงกิ่งที่ชี้ลงดิน ที่ไม่ได้รับแสงแดด กิ่งพวกนี้จะมีใบที่แทบไม่ได้ช่วยสังเคราะห์แสงหรือไม่ได้ช่วยสร้างอาหารให้กับต้นไม้ที่เราปลูก แต่ก็ยังมีธาตุอาหารลำเลียงไปหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา จึงควรตัดออก เพราะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การตัดแต่งกิ่งไม้ยืนต้น      ไม้ยืนต้นหรือไม้เศรษฐกิจชนิดต่างๆ เช่น พะยูง , ยางนา , มะค่า , ประดู่ และไม้สัก ผมจะใช้ระยะปลูก 4 คูณ 4 เมตรโดยประมาณเหมือนกับไม้ผลทั่วไป การตัดแต่งกิ่งจะมี 2 ลักษณะคือ 1.ตัดแต่งกิ่งเพ

ต้นไม้ชนิดไหน? ควรและไม่ควรปลูกไว้ใกล้บ้าน

รูปภาพ
     สวัสดีมิตรสหายที่รักในการปลูกป่าทุกท่าน บทความนี้ผมจะมาแนะนำต้นไม้ที่สมควรและไม่สมควรปลูกไว้ใกล้บ้าน ผมสรุปมาให้ฟังดังนี้ครับ ต้นไม้ที่ไม่สมควรปลูกไว้ใกล้บ้าน 1. ไม้เนื้ออ่อนหักล้มง่าย เช่นไม้สัก , ยางพารา , ขนุน , สะเดา , กระถิน , ขี้เหล็ก , มะม่วง , มะยม , ทุเรียน และมะรุม 2. ต้นไม้ที่ปลูกหรือเพาะจากกิ่งตอน ต้นไม้ที่สมควรปลูกไว้ใกล้บ้าน 1. ควรเป็นไม้เนื้อแข็ง เนื้อไม้เหนียวไม่หักล้มง่าย เช่น พะยูงไทย , มะขาม , ไม้เต็ง , ไม้รัง ,  ไม้แดง , ไม้มะค่า , ประดู่ , ตะแบก และต้นตะโก 2. ควรเป็นต้นไม้ที่มีทรงพุ่มให้ร่มเงาได้ดี 3. ควรเป็นต้นไม้ที่ปลูกหรือเพาะจากเมล็ด ** เคล็ดลับ ! ปลูกไม้ยืนต้นใกล้บ้าน **      หากจะปลูกไม้ยืนต้นไว้ใกล้บ้านขอแนะนำว่า ควรปลูกรวมกันเป็นกลุ่ม (ห่างประมาณ 3 เมตร) เพื่อเป็นแนวต้านลม อาจปลูกไผ่เสริมเข้ามาด้วย และที่สำคัญหากจำเป็นต้องปลูกใกล้บ้านหรือมีอยู่แล้วควรตัดยอดไม่ให้สูงเลยหลังคาบ้าน ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเราได้นะครับ.

6 เคล็ดลับ! ง่ายๆ ทำให้ดินดี โดยไม่ต้องไถพรวน

รูปภาพ
      สวัสดีมิตรสหายที่รักเกษตรทุกท่าน บทความนี้จะมาแนะนำ 6 เคล็ดลับง่ายๆที่จะทำให้ดินปลูกของเราดี ปลูกอะไรก็งาม โดยที่เราไม่ต้องไถพรวน โดยเฉพาะท่านที่ปลูกต้น้ไม้ลงแปลงไปแล้ว แต่อาจจะไม่ได้ไถพรวนหรือไม่ได้ปรับปรุงบำรุงดินก่อน มีวิธีแก้ไขอย่างง่ายๆดังนี้ครับ 1. ไม่เผาเศษวัชพืชในบริเวณแปลงปลูก      ไม่ควรเผาทำลายเศษวัชพืชที่อยู่ในแปลงปลูก เพราะเป็นการทำลายแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในแปลงปลูกของเรานั่นเอง 2. ไม่นำเศษวัชพืชออกจากแปลงปลูก      ไม่ควรนำเศษวัชพืชออกจากแปลง เพราะนั่นคืออินทรีย์วัตถุชั้นดี มีธาตุอาหารที่สะสมอยู่ หากเรานำออกจากแปลงเท่ากับว่านำปุ๋ยหรือธาตุอาหารพืชออกจากแปลงปลูกของเรานั่นเอง 3. ปลูกพืชตระกูลถั่วเป็นไม้พี่เลี้ยง      ควรปลูกพืชตระกูลถั่วเป็นไม้พี่เลี้ยงเพื่อเพิ่มไนโตรเจนในดินเช่น ถั่วชนิดต่างๆ ต้นแค ต้นโสน และต้นกระถินเป็นต้น 4. หว่านปอเทืองหรือถั่วเขียวเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน      ในรอบปีโดยเฉพาะในช่วงต้นฝนควรหว่านปอเทืองหรือถั่วเขียว ตัดกลบเป็นปุ๋ยพืชสดในแปลง 5. เติมอินทรียวัตถุในแปลง (เน้นรอบโคนต้น)      ควรเติมอินทรียวัตถุต่างๆเช่นปุ๋ยคอกห

3 เรื่องที่หลายคนมักเข้าใจผิด! เกี่ยวกับการใช้ปูนขาว

รูปภาพ
            ปูนขาว ( Calcium Hydroxide ) เป็นอีกหนึ่งวัสดุทีใช้ในทางเกษตรมายาวนาน มีลักษณะเป็นผงสีขาวละเอียด เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต)  ผ่านความร้อนสูง กลายเป็นเป็นปูนสุก ปล่อยให้เย็นตัวลงแล้วพรมน้ำให้ชุ่ม ปูนสุกที่ได้ก็จะทำปฏิกิริยากับน้ำได้เป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ส่วนที่เป็นผงแห้งได้เป็น ปูนขาว               ซึ่งประโยชน์ของปูนขาวที่ใช้ในทางเกษตรก็มีมากมาย แต่หลายคนก็มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ปูนขาว หลักๆแล้วที่ผมสรุปได้มี 3 อย่างดังนี้ครับ 1. ปูนขาวปราบเชื้อราฆ่าเชื้อโรคในดินได้      ปูนขาวไม่ใช่สารเคมีที่เป็นอันตรายจึงไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราได้ แต่จะช่วยปรับสภาพดินโดยเฉพาะดินเปรี้ยวหรือดินที่มีความเป็นกรดให้มีสภาพที่เหมาะสม มีค่า PH (ค่าความเป็นกรดด่าง) ที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของพืชคือระหว่าง 5.5-6.5 หรือมีความเป็นกรดอ่อนๆ เป็นสภาวะที่พืชสามารถดูดซับดูดซึมธาตุอาหารได้ดี และธาตุอาหารต่างๆก็ปลดปล่อยออกมาได้ดีไม่ว่าจะเป็นธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง รวมไปถึงจุลธาตุ 2. ปูนขาวใช้ปราบแมลงศัตรูพืชได้      ปูนขาวจะมีความเป็นด่าง ( PH ประมาณ 10

4 ประโยชน์หลักๆที่ได้จากขี้เถ้าถ่าน

รูปภาพ
ขี้เถ้า คือเศษที่เหลือจากการเผาฟืน ถ่านเศษไม้ หรือเศษใบไม้   จะมีลักษณะเป็นผงสีขาว เป็นอีกหนึ่งวัสดุที่ใช้ในทางเกษตรมายาวนาน ประโยชน์หลักๆ ที่ได้จากขี้เถ้าก็คือ 1. ทำให้ดินดี ช่วยลดความเป็นกรดของดิน ช่วยลดความเป็นกรดของดินเพราะมีความเป็นด่าง ช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดินเพราะมีธาตุโพแทสเซียม ( K) และซิลิกา ( Silica) และธาตุอาหารอื่นๆ 2. ทำให้พืชโตไว ในขี้เถ้าจะมีธาตุอาหารสำคัญคือโพแทสเซียมที่จะช่วยสังเคราะห์โปรตีน แป้งและน้ำตาล เสริมการเคลื่อนย้ายน้ำตาลไปสู่ผล ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพดี รสชาติอร่อย ในขี้เถ้ายังมีซิลิกา ( Silica) ที่มีส่วนช่วยขยายเซลล์พืช ทำให้ใบหนา ใบใหญ่ โตไว ใบเขียวสด 3. ช่วยขับไล่แมลงศรัตรูพืช เพราะความเป็นด่างของขี้เถ้าหากนำมาละลายน้ำแล้วนำไปฉีดพ่นพืชผักนอกจากจะมีใบเขียว ใบหนาแล้วยังป้องกันแมลงบางชนิดได้โดยเฉพาะเพลี้ย 4. ช่วยป้องกันโรคพืช เนื่องจากขี้เถ้ามีคุณสมบัติเป็นด่างจะช่วยปรับสภาพดิน (โดยเฉพาะดินที่มีความเป็นกรด) ทำให้มีค่า PH ที่เหมาะสมเป็นที่อาศัยของจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียกลุ่มสร้างสรรค์ ซึ่งจะมาแทนที่แบคทีเรียหรือจุลินทรีย์กลุ่มก่อโรค (ทำให้เกิดโรคพ

รู้เพียง 3 ข้อนี้! ประหยัดปุ๋ยเคมี พืชได้ประโยชน์สุด

รูปภาพ
3 ข้อควรรู้ก่อนใส่ปุ๋ยเคมี      ปุ๋ยเคมีคือสารประกอบอนินทรีย์ที่ผ่านกระบวนการผลิตทางเคมีเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช เมื่อใส่หรือหว่านลงไปในดินที่มีความชื้นเหมาะสม และช่วงเวลาที่เหมาะสม จะละลายตัวทำให้พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ปุ๋ยเคมีไม่ใช่สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อพืช การใช้ปุ๋ยเคมีให้ประหยัด พืชได้ประโยชน์สูงสุด ผมสรุปมาให้มี 3 ข้อ คือ 1.ใช้ปุ๋ยเคมีให้เป็น (ไม่ให้เกิดการสูญเสีย) เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียควรนำปุ๋ยเคมี 1 ส่วน ผสมกับปุยคอกหรือปุ๋ยหมักอีก 5 ส่วน แล้วนำไปโรยรอบโคนต้น (ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักจะมีประจุลบ จะช่วยจับประจุ + ที่มีในปุ๋ยเคมีเอาไว้ และจะค่อยๆปลดปล่อยออกมา ทำให้พืชดูดซึมไปใช้ได้ทัน ไม่เกิดการสูญเสีย) 2.ใช้ปุ๋ยเคมีให้ถูกช่วงเวลา ควรใส่ปุ๋ยในช่วงเวลาที่มีแสงแดดอ่อนๆตอนกลางวัน เพราะเป็นช่วงที่ปากใบพืชเปิดมากที่สุด และดินรอบโคนต้นต้องมีความชื้น เพื่อการละลายตัวที่ดี และเพื่อการดูดซับดูดซึมของพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงหรือกระบวนการสร้างอาหารของพืชนั่นเอง 3.ใช้ปุ๋ยเคมีตามความต้องการของพืช ควรใส่ปุ

3 วิธีใส่ปุ๋ยอย่างถูกต้อง! ที่หลายคนไม่เคยได้รู้ แชร์จากประสบการณ์ตรงครับ

รูปภาพ
3 วิธีใส่ปุ๋ยอย่างถูกต้อง ที่หลายคนไม่เคยได้รู้ บอกเล่าจากประสบการณ์ตรงครับ      การใส่ปุ๋ยและการให้ปุ๋ยทางใบอย่างถูกต้อง จากประสบการณ์ที่ผมเคยทำเกษตรมาหลายปี หลักมีอยู่ 3 รูปแบบคือ 1. ละลายปุ๋ยกับน้ำ แล้วนำไปรดที่โคนต้น นำปุ๋ยเคมีประมาณ 1 ช้อน ผสมกับน้ำประมาณ 10 ลิตร คนละลายให้เข้ากัน จากนั้นก็นำไปรดที่โคนต้น **ข้อควรรู้** ปุ๋ยเคมีสูตรต่างๆสำหรับให้ทางดิน ไม่ควรนำไปรดที่ใบพืช เพราะเป็นปุ๋ยที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ หากรดทางใบพืชจะไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร หรือบางครั้งอาจทำให้ใบไหม้ได้ หากจะรดหรือฉีดพ่นทางใบควรใช้ปุ๋ยเกร็ด ปุ๋ยน้ำ ฮอร์โมนทางใบ หรือปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) หรือปุ๋ยแอมโมเนีย สูตรต่างๆ ซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก ซึ่งจะทำให้พืชสามารถดูดซับดูดซึมผ่านทางปากใบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ละลายปุ๋ยกับน้ำ แล้วนำไปฉีดพ่นที่ใบพืช นำปุ๋ยสำหรับฉีดพ่นทางใบ เช่นปุ๋ยเกร็ด ฮอร์โมนพืชชนิดต่างๆ หรือปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 ผสมกับน้ำในอัตราส่วนตามที่ระบุไว้ แล้วนำไปฉีดพ่นพืชผัก หรือไม้ผลที่เราปลูกไว้ ด้วยการฉีดพ่นให้เปียกทั่วใบ โดยเฉพาะบริเวณใต้ใบพืช (เพราะส่วนใหญ่แล้วปากใบพืชจะอยู่บริเวณใต้ใบ) 3.

ใส่ปุ๋ยช่วงไหนดี? ระหว่างกลางวันกับกลางคืน

รูปภาพ
ใส่ปุ๋ยช่วงไหนดี?      หลายคนที่สนใจในการทำเกษตรหรือเพิ่งเริ่มทำเกษตรอาจมีข้อสงสัยว่า "เราจะใส่ปุ๋ยช่วงไหนดี? ระหว่างกลางวันกับกลางคืน" ซึ่งในบทความนี้เรามาฟังเหตุและผลกันครับ      ปุ่ยคือธาตุอาหารสำคัญที่พืชต้องใช้ในการเจริญเติบโตของพืช ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีรวมไปถึงปุ๋ยน้ำสูตรต่างๆ แต่ก่อนที่เราจะใส่ปุ๋ยให้กับพืช พื้นฐานที่เราต้องรู้ก็คือ 1.ดินต้องมีความชื้น ในการให้ปุ๋ยให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด ดินต้องมีความชื้น  2.ใส่ช่วงที่พืชต้องการ - ระยะเริ่มปลูก (ยังไม่ต้องใส่) - ระยะกำลังเจริญเติบโต (เริ่มใส่ทีละน้อย) - ระยะกำลังติดดอกออกผล (ใส่ตามสูตรที่แนะนำไว้ข้างกระสอบปุ๋ยเพื่อผลผลิตที่ดี) 3.ปากใบปากใบต้องเปิดรับด้วย      ปากใบพืชจะเปิดก็ต่อเมื่อมีแสงสว่าง และมีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่เหมาะสม นั่นหมายถึงปากใบพืชจะเปิดในเวลากลางวันและปิดในเวลากลางคืนนั่นเอง การเปิดปิดของปากใบพืชส่งผลให้เกิดการคายน้ำออกออกมาทางปากใบ ซึ่งน้ำและธาตุอาหารต่างๆจะถูกลำเลียงจากรากสู่ใบผ่านทาง Xylem (ท่อลำเลียงน้ำและธาตุอาหารจากรากไปสู่ส่วนต่างๆของพืช) เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง

ปุ๋ยเคมีราคาแพง! ใช้อย่างไรให้ประหยัด! และพืชได้ประโยชน์สุด มาฟังเฉลยกัน

รูปภาพ
     บทความนี้ผมจะมาแนะนำวิธีการใช้ปุ๋ยเคมีให้พืชได้ประโยชน์สุด แถมยังประหยัดเงินในกระเป่าอีกต่างหากครับ แต่ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อันที่จริงแล้วปุ๋ยเคมีไม่ใช่สารเคมีแต่อย่างใดนะครับ แต่เป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ปุ๋ยเคมี จัดว่าเป็นสารประกอบอนินทรีย์ คือเป็นสารประกอบที่ผ่านกระบวนการผลิตทางเคมี ซึ่งจะปลดปล่อยธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช  เมื่อเราใส่ลงไปในดินหรือแปลงปลูกที่มีความชื้น ปุ๋ยเคมีก็จะละลายตัวออกมาพร้อมปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วปุ๋ยเคมีจะมีประจุ + ส่วนอินทรีย์วัตถุต่างๆจะมีประจุ - ในการใช้ปุ๋ยเคมีให้เกิดประโยชน์กับพืชมากที่สุดควรนำปุ๋ยเคมี 1 ส่วน ผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก) ประมาณ 5 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็นำไปใส่รอบโคนต้นไม้ที่เราปลูกได้เลย และที่สำคัญก่อนใส่ปุ๋ยทุกครั้งควรรดน้ำต้นไม้ตามด้วยนะครับ.

เผยเคล็ดลับ! ในการรดน้ำต้นไม้หน้าแล้งให้ประหยัดน้ำมัน ประหยัดเวลาและประห...

รูปภาพ
เรื่องง่ายๆที่หลายคนไม่เคยรู้ ในการรดน้ำต้นไม้หน้าแล้งให้ประหยัด ทำให้พืชโตไวต่อเนื่อง      ในช่วงหมดฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่ดินขาดความชุ่มชื้น การที่จะทำให้ต้นไม้ที่เราปลูกมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องก็ต้องรักษาความชื้นรอบโคนต้นให้มีความสม่ำเสมออย่าปล่อยให้ขาดความชื้นอย่างเด็ดขาดเพราะจะทำให้การเจริญเติบโตของพืชชะงัก และในบทความนี้ผมก็มีเทคนิคดีๆในการรดน้ำต้นไม้หน้าแล้งให้ประหยัดทั้งแรงงาน ประหยัดน้ำมัน และประหยัดเวลา แถมยังทำให้ต้นไม้ในสวนของเรามีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกต่างหากมีเคล็ดลับง่ายๆดังนี้ครับ 1. ควรให้น้ำทุก 2 วัน หรือวันเว้นวัน 2. การให้น้ำแต่ละครั้งดินรอบต้นควรมีความชื้นลึกลงไปประมาณ 30 เซนติเมตร ข้อดีของการให้น้ำตามวิธีนี้ 1. ประหยัดน้ำมันเพราะใช้เวลาน้อยเนื่องจากดินมีความชื้นต่อเนื่อง 2. ประหยัดเวลาและแรงงาน 3. ต้นไม้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ข้อดี/ข้อเสียของปุ๋ยคอก

รูปภาพ
ข้อดี/ข้อเสียของปุ๋ยคอก ข้อดี 1. ทำให้ดินดี ดินร่วนซุย  ดินมีรูพรุนและมีออกซิเจนสูง 2.  มีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช 3.. ปลดปล่อยธาตุอาหารอย่างช้าๆทันต่อความต้องการของพืช 4. ทำให้พืชโตไว ไม่มีสารเคมี ข้อเสีย 1. มีปริมาณธาตุอาหารต่ำเมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมี 2. ทำให้เกิดวัชพืชในแปลงปลูก 3. หายากในบางพื้นที่

5 ข้อดีของการตัดยอดพืช ที่หลายคนไม่เคยรู้

รูปภาพ
ข้อดีของการตัดยอดพืช ที่หลายคนไม่เคยรู้ ผมสรุปมาให้ 5 อย่างดังนี้ครับ 1.ทำให้พืชโตไว 2.ให้ผลผลิตในเวลาสั้นๆ 3.ได้ผลผลิตสูง 4.ดูแลง่าย 5.ช่วยยืดอายุของต้นไม้

เผย 3 เคล็ดลับ! ที่ทำให้พริกต้นนี้ดก! และโตไว แถมยังทนแล้งอีกต่างหาก

รูปภาพ
เผย 3 เคล็ดลับ! ที่ทำให้พริกต้นนี้ติดผลดก! และโตไว แถมยังทนแล้งอีกต่างหา ก ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆเริ่มตั้งแต่การเตรียมหลุมปลูกดังนี้ครับ 1.รองพื้นหลุมด้วยปุยคอกเก่า (ครึ่งกิโลกรัม) + ขี้เถ้าถ่าน (1 กำมือ) 2.ปลูกข้างต้นกล้วย (เพื่ออาศัยความชื้นและร่มเงา) 3.ปลูกแบบตัดยอด (เพื่อกระตุ้นการสร้างกิ่งใหม่)

เจอเหตุการณ์แบบนี้! ต้องแก้ไข! ไม่งั้นผลผลิตตกต่ำ (ฝนตกใส่ต้นไม้ที่กำลั...

รูปภาพ
  สวัสดีมิตรสหายที่รักเกษตรทุกท่านครับ ในช่วงที่ไม้ผลที่เราปลูกไว้กำลังติดดอกออกผลตามฤดูกาลในแต่ละปี หากบังเอิญมีฝนตกใส่ในช่วงนี้ มักเกิดปัญหากับช่อดอกที่กำลังติดผลเล็กเพราะไนโตรเจนที่มากับน้ำฝนนั่นเองครับ อาจส่งผลให้เกิดยอดอ่อนแซมช่อผลออกมา ทำให้ผลผลิตตกต่ำหรือแทบไม่ได้ผลผลิต หากเจอเหตุการณ์แบบนี้ แนวทางแก้ปัญหาอย่างง่ายๆของผมก็คือ ผมจะฉีดพ่นหรือรดด้วยฮอร์โมนไข่ เพื่อบล็อกไนโตรเจนนั่นเองครับ แล้วฮอร์โมนไข่มันดีอย่างไร?     หลายคนอาจสงสัย อธิบายให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ ฮอร์โมนไข่คือการนำไข่ไก่มาหมักกับกากน้ำตาล + ลูกแป้งข้าวหมาก และนมเปรี้ยว อาจใช้เครื่องปั่นหรือคนให้เข้ากัน นำไปใส่ขวดวางไว้ในที่ร่มประมาณ 15 วันใช้ได้เลย ซึ่งฮอร์โมนไข่มีสารอาหารที่อยู่ในรูปของคาร์บอน (อัตราคาร์บอน / ไนโตรเจนอยู่ที่ประมาณ 10 : 1) และยังมีธาตุอาหารอื่นๆที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชมากมาย ในห้องปฏิบัติการหลายแห่งที่ได้นำฮอร์โมนไข่ไปวิเคราะห์ พบว่าในฮอร์โมนไข่จะมีทั้งธาตุอาหารหลัก เช่น ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) เสริมด้วยธาตุอาหารรอง เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน อีกทั้งยังมีธาต

2 วัสดุรองพื้นหลุมป้องกันเชื้อรา! ป้องกันโรคพืช โตไว ใบเขียว ติดผลดกในเว...

รูปภาพ
2 วัสดุรองพื้นหลุมป้องกันเชื้อรา ได้ผลจริง! ปัญหาโรคพืชหรือเชื้อราต่างๆที่มักเกิดขึ้นและทำลายพืชผักที่เราปลูก มักก่อปัญหาและเกิดขึ้นกับหลายๆสวน ให้คนทำเกษตรอย่างผมและท่านผู้ที่กำลังอ่านบทความนี้ เสาะแสวงหาแนวทางและวิธีแก้ไขกันมาอย่างช้านาน บ้างก็แก้ปัญหาด้วยสารเคมีชนิดต่างๆ สุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ซึ่งเรื่องราวดีๆในบทความนี้ผมจะมาแนะนำ 2 วัสดุรองพื้นหลุมที่สามารถป้องกันและกำจัดเชื้อราในดินได้ อีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคพืช ทำให้พืชโตไว ใบเขียว แถมยังติดผลดกในระยะเลาสั้นๆ นั่นก็คือ ขี้เถ้าจากเตาถ่านและใบมะรุมหั่นนั่นเองครับ.

มะม่วงไม่ติดดอกออกผล เกิดจากอะไร? เเก้ไขอย่างไร? มาฟังเฉลยกันครับ

รูปภาพ
5 สาเหตุหลักๆที่ทำให้มะม่วงไม่ติดดอกออกผล พร้อมวิธีแก้ไข   ผมสรุปมาให้ 5 อย่างดังนี้ครับ 1. ต้นมะม่วงที่เราปลูกขาดความสมบูรณ์ ควรมีการดูแลให้น้ำและใส่ปุ๋ยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ระยะเริ่มปลูก จนกระทั่งลำต้นมีความเข็งแรงสมบูรณ์พร้อมที่จะสะสมตาดอก และติดดอกออกผลต่อไป 2. ขาดการตัดแต่งกิ่งมะม่วงตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรมีการตัดแต่งกิ่งให้โล่งโปร่งเพื่อให้แสงส่องผ่านได้ทั้งต้น โดยเฉพาะช่วงที่เก็บเกี่ยวผลผลิตหมดแล้ว เพื่อให้มะม่วงได้สร้างกิ่งก้านสาขาและสร้างยอดใหม่ ลดปัญหาต้นโทรมแถมยังช่วยเพิ่มคุณภาพผลผลิตได้อีกด้วย 3. การให้น้ำ และการควบคุมความชื้นที่ไม่เหมาะสมตามช่วงเวลา ในระยะปลูกใหม่ควรให้น้ำและปุ๋ยอย่างต่อเนื่อง แต่พอผ่านไปสักระยะหากเห็นว่าต้นมะม่วงมีการเจริญเติบโตที่ดี ลำต้นและใบมีความสมบูรณ์ หลังหมดฤดูฝนก็ควรงดการให้น้ำและงดให้ปุ๋ยชั่วคราว เพื่อให้ต้นมะม่วงเกิดการสะสมอาหาร สะสมตาดอก เพื่อการติดดอกออกผลตามฤดูกาลต่อไป 4. ปริมาณการสะสมธาตุอาหารไม่เพียงพอ ปริมาณการสะสมอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากไม่มีการดูแลให้น้ำและให้ปุ๋ยอย่างต่อเนื่องในระยะเริ่มปลูกจนกระทั่งระยะที่มะม่วงพร้อมที่จะติดดอกออกผล

4 ข้อควรรู้! ดูเเลมะม่วงในช่วงติดดอกออกผล

รูปภาพ
4. ข้อควรรู้! ดูแลมะม่วงช่วงติดดอกออกผล ตามแบบฉบับเกษตรอินทรีย์ 1. อย่าให้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป ในระยะที่มะม่วงกำลังติดดอกออกผลไม่ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดยอดอ่อนแซมช่อผลได้ 2. ควรเน้นแคลเซียมโบรอน (ฉีดพ่นทางใบ) ในระยะที่มะม่วงกำลังติดดอกออกผลหากต้องการให้ปุ๋ยทางใบควรใช้ ฮอร์โมนไข่ หรือแคลเซียม-โบรอนชุดสำเร็จรูปฉีดพ่นเพื่อเสริมขั้วผล ทำให้ขั้วผลเหนียวไม่หลุดร่วง ผลผลิตดก 3. ควรเน้นฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม (ใส่ทางดิน) หากไม่เน้นปุ๋ยเคมี ให้ใช้ขี้เถ้าจากเตาถ่านประมาณ 3-4 กำมือโรยรอบโคนต้น จากนั้นให้รดน้ำตาม ก็จะช่วยเพิ่มคุณภาพผลผลิตของมะม่วงได้ 4. ควรรักษาความชื้นอย่างต่อเนื่อง การให้น้ำหรือการรักษาความชื้นให้ต้นมะม่วงที่กำลังติดดอกออกผลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดการหลุดร่วงของขั้วดอกหรือขั้วผลได้ ทำให้ได้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย ติดผลดกนั่นเองครับ.